วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

รู้ไว้จะได้ระวัง "โรคไฟโบรมัยอัลเจีย"


หลายคนอาจจะยังไม่รู้จักโรคร้าย "ไฟโบรมัยอัลเจีย" ซึ่งเป็นโรคใหม่ที่กำลังเกิดขึ้นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทยมากขึ้น … สำหรับโรคดังกล่าวนั้นเพิ่งมีการศึกษาและสำรวจถึงจำนวนผู้ป่วยและลักษณะของโรคเมื่อไม่นานมานี้
โดยในช่วงปลายเดือนต.ค. ปีที่ผ่านมา บริษัทไฟเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด จัดงานสัมมนาที่ห้องประชุม เบฟเวอรี่ ฮิลล์ โรงแรมคอนราดกรุงเทพฯ เปิดเผยผลสำรวจล่าสุดจาก "โครงการการสำรวจแนวโน้มและความตระหนักรู้เกี่ยวกับ โรคไฟโบรมัยอัลเจีย ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้" เพื่อนำเสนอโรคไฟโบรมัยอัลเจียให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น
โดยในการประชุมครั้งนี้ ดร.เฮนรี่ ลู หัวหน้าประจำคลินิกควบคุมความปวด มาคาติ ณ ศูนย์การแพทย์มาคาติ ฟิลิปปินส์ อธิบายอาการของโรคไฟโบรมัยอัลเจียว่า ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บปวดเรื้อรังและลุกลามไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ระดับอาการปวดเทียบได้เกือบเท่ากับระดับของการปวดในไมเกรน ขณะนี้ทั่วโลกมีผู้ป่วยเป็นโรคดังกล่าวอยู่ถึง 40 ล้าน และผู้ป่วยบางคนไม่ทราบว่าตนนั้นป่วยเป็นโรคนี้อยู่
"อาการปวดจากโรคไฟโบรมัยอัลเจีย มีเอกลักษณ์อยู่ตรงที่อาการปวดจะค่อยๆ แผ่ขยายออกไปตามร่างกายของผู้ป่วย ข้อมูลจากการวิจัยในผู้ป่วยในประเทศสหรัฐ พบว่า ผู้ป่วยจะมีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ในบางรายที่เป็นหนักถึงขั้นชา และนอนไม่หลับ เป็นต้น" ดร.ลู กล่าว
รู้ไว้จะได้ระวัง "โรคไฟโบรมัยอัลเจีย"

และจากข้อมูลและหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ล่าสุด ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า สาเหตุของโรคมาจากสมองส่วนที่ทำหน้าที่รับรู้ความเจ็บปวด ซึ่งอาจเป็นส่วน "ทาลามัส" ทำงานไวผิดปกติเพราะปัจจัยหลัก 3 ประการ คือ ความผิดปกติทางพันธุกรรม เคยบาดเจ็บอย่างรุนแรง หรือเกิดจากปัจจัยแวดล้อม เช่น เคยถูกทารุณกรรม เมื่อเป็นหนักเข้าจะทำให้ผู้ป่วยสุขภาพร่างกายและจิตใจถดถอยลง บางรายถึงขั้นเสียสติ เพราะทนอยู่กับอาการป่วยมานานและไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง
สำหรับผู้ที่ตรวจพบว่าเป็นโรคดังกล่าวนั้น แพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ให้คำแนะนำว่า ไม่ควรตื่นตระหนก ให้ไปพบแพทย์ที่ไปพบอยู่ประจำ เพราะแพทย์จะรู้ประวัติผู้ป่วยซึ่งมีความสำคัญมากในการใช้ประกอบการวินิจฉัย แล้วจึงปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ไปตามขั้นตอน

วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2552

น้อง ม.ต้น เข้าค่าย พี่ ม.ปลาย เลยไปหัวหิน

เพลินวานจร๊ะเพื่อนๆๆ ที่หัวหิน
เราเอารูปมาโชว์แล้วนะ มาย เอ๋ย หมู อิง เนิส กุ๋ย เข้ามาดูกันก่อนแล้วกันนะเดี๋ยวปิดเทอมเราไปเที่ยวกัน รอให้ติดกันหมดทั้งกลุ่มก่อนเหลืออยู่ก็ หมู เอ๋ย สู้ๆๆ อืมแล้วก็มายที่จะไปอยู่จุฬา
เราเอาใจช่วยนะ แล้วโลกใต้น้ำอะที่ อำเภอ หว้ากอ นะ รูปอาจน้อยไปหน่อยพอดีเราลืมเอากล้องตัวเองไปอะ+555+























































วันอังคารที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2552

จุฬาฉลอง อันดับ138 ม.ชั้นนำของโลก

เมื่อวันที่ 21 ต.ค. สมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (สนจ.) จัดงาน "เกียรติภูมิจุฬาฯ" เพื่อแสดงความยินดีแก่ นพ.ภิรมย์ กมลรัตนกุล อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และคณะผู้บริหาร ในโอกาสที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้รับการจัดอันดับจากนิตยสารไทม์ ไฮเออร์ เอดูเคชัน (The Times Higher Education) ประจำปี 2009 อยู่ในอันดับ 138 ของมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก ดีขึ้นจากอันดับที่ 166 ในปีก่อน หรือก้าวกระโดดมากถึง 28 อันดับ และจัดยังเป็นอันดับที่ 20 ของเอเชีย และอันดับ 3 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยยังคงเป็นมหาวิทยาลัยไทยเพียงแห่งเดียวที่ติดอยู่ใน 200 อันดับ

วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2552

กลิ่นมะนาวช่วยลด"เครียด"

กลิ่นมะนาวช่วยลด"เครียด"

โรมาเทอราปี (Aromatherapy) เป็นศาสตร์ของการใช้ "กลิ่นระเหย" มาช่วยดูแลสุขภาพ ในรูปของน้ำมันระเหยที่สกัดออกมาอย่างเข้มข้น ใช้ได้ทั้งเพื่อความงาม ในรูปของเครื่องสำอาง ใช้เพื่อสุขภาพ และใช้เพื่อพิธีกรรม โดยเฉพาะเพื่อความงาม ใช้เป็นน้ำมันหอมระเหยมีคุณสมบัติในการฟื้นฟูเซลล์ผิว การขับสารพิษ การระงับเชื้อ ฯลฯ เราสามารถใช้เพื่อรักษาความอ่อนเยาว์ของผิวพรรณ ซ่อมแซมรอยแผล แต้มสิว บำรุงผม หรือการลดริ้วรอยความเหี่ยวย่น โดยใช้ในรูปแบบของโลชั่น น้ำมันนวด สบู่อาบน้ำ หรือแชมพู การใช้เพื่อสุขภาพ ด้วยคุณสมบัติของการคลายกล้ามเนื้อ ลดความเจ็บปวด การฆ่าเชื้อ ฯลฯ เราสามารถนำน้ำมันหอมระเหยมาใช้ลดอาการหรือช่วยบำรุงสุขภาพเราได้ทั้งทางกายและทางใจ โดยเฉพาะปัญหาที่เกิดจากความเครียด ซึ่งยาเคมีสังเคราะห์มีผลข้างเคียงสูง ขณะที่น้ำมันหอมระเหยเป็นสารธรรมชาติ มีการตกค้างและผลข้างเคียงที่น้อยกว่าหรือไม่มีเลย ทำและใช้กันมาตั้งแต่โบราณกาลทีเดียว

ยิ่ง "มะนาว" นักวิทยาศาสตร์และการแพทย์ศึกษาแล้วพบว่า กลิ่นของมะนาว โดยเฉพาะจากเปลือก ช่วยลดความเครียดได้ เป็นการใช้กลิ่นหอมทดแทนการใช้ยา น้ำมันหอมระเหยกลิ่นมะนาวนี้ มีฤทธิ์ต่อระบบต่างๆ ผ่านทางผิวหนัง ช่วยระงับเชื้อจากบาดแผล แมลงกัดต่อย ฯลฯ รวมถึงกลิ่นมะนาวยังช่วยลดความดันโลหิตอีกด้วย


ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชน

วันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เกร็ดความรู้เกี่ยวกับรัฐธรรมนูญไทย

1.รัฐธรรมนูญไทย มีมาจนถึงปัจจุบันเป็นฉบับที่ 18


2.รัฐธรรมนูญที่อายุสั้นที่สุดได้แก่รัฐธรรมนูญฉบับที่ 1 มีอายุ 5 เดือน 3 วัน (ประกาศใช้ 27 มิถุนายน 2475 หมดอายุเมื่อ 10 ธันวาคม 2475 )

3.รัฐธรรมนูญที่อายุนานที่สุดได้แก่รัฐธรรมนูญฉบับที่ 2 มีอายุ 13 ปี 5 เดือน (ประกาศใช้ 10 ธันวาคม 2475 หมดอายุเมื่อ 9 พฤษภา 2489 )

4.รัฐธรรมนูญที่เป็นฉบับชั่วคราวแต่อายุการใช้นานกว่ารัฐธรรมนูญฉบับถาวรบางฉบับได้แก่รัฐธรรมนูญฉบับที่ 7 มีอายุ 9 ปี
เดือน 20 วัน (ประกาศใช้ 28 มกราคม 2502 หมดอายุเมื่อ 20 มิถุนายน 2511 )

5.รัฐธรรมนูญที่มีที่มาพิสดารที่สุดคือรัฐธรรมนูญฉบับที่ 4 เพราะร่างแล้วซ่อนไว้ทีใต้ตุ่มน้ำสีแดง เรียกสั้นว่าตุ่มแดง

6.รัฐธรรมนูญที่มีมาตรามากที่สุดได้แก่รัฐธรรมนูญฉบับที่ 16 มี 336 มาตรา (ประกาศใช้ 11 ตุลาคม 2540 หมดอายุเมื่อ 19
กันยายน 2549 )และถือว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่มีประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการร่างมากที่สุด

7.รัฐธรรมนูญที่มีมาตราน้อยที่สุดได้แก่รัฐธรรมนูญฉบับที่ 7 มี 20 มาตรา (ประกาศใช้ 28 มกราคม 2502 หมดอายุเมื่อ 20
มิถุนายน 2511 )

8.รัฐธรรมนูญที่มีการร่างนานที่สุดได้แก่รัฐธรรมนูญฉบับที่ 8 ใช้เวลาร่าง 9 ปีเศษ

9.รัฐธรรมนูญที่ให้อำนาจแก่นายกรัฐมนตรีมากที่สุดซึ่งกล่าวว่าเป็นการให้นายกรัฐมนตรีเป็นเผด็จการ เพราะมีอำนาจในการสั่งให้
ประหารชีวิต หรือ จะยึดทรัพย์สินใครก็ได้ เป็นต้น ได้แก่รัฐธรรมนูญฉบับที่ 7 และฉบับที่ 9

10.รัฐธรรมนูญที่กำหนดให้นายกรัฐมนตรีไม่จำเป็นต้องเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้แก่รัฐธรรมนูญฉบับที่ 15 (ประกาศใช้ 9
ธันวาคม 2534 หมดอายุเมื่อ 11 ตุลาคม 2540 )

11.รัฐธรรมนูญที่มีการให้ประชาชนลงประชามติครั้งแรก ได้แก่รัฐธรรมนูญฉบับที่ 18 ฉบับปัจจุบัน (ประกาศใช้ 24 สิงหาคม
2550)

-->>ขอบคุณที่มา http://www.oknation.net/blog/print.php?id=504213<<--

วันพุธที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

9 วิธีแก้หลับเวลากวดวิชา

1. ถ้ารู้ว่าตัวเองต้องเข้าเรียนแต่เช้า : ก็อย่าดูหนังดูละครจนดึกเกินสี่หรือห้าทุ่ม เพราะเวลานอนที่ขาดไปมันมักจะมาเอาคืนช่วงเรียนพิเศษที่มีอาจารย์ในดีวีดีมากล่อมเสมอ ข้อนี้สำคัญมาก เพราะหากนอนดึกแล้ว ก็ไม่มีวิธีไหนที่จะมาทำให้เราหายง่วงได้ นอกจากไปกินกระทิงแดง (แต่ก็ไม่แนะนำว่าไม่ดีต่อสุขภาพ)

2. พกขนมหรือน้ำเข้าไปด้วย : แต่ !!! ห้ามกินตั้งแต่เริ่มเรียน เพราะจะทำให้ง่วงง่ายมากกกกก ให้กินเมื่อเริ่มง่วงเท่านั้น (บางทีลองซื้อขนมที่เวลาแกะแล้วเสียงดังๆ เพราะเวลาแกะขนมนั้นจะทำให้เราตื่นเต้นและกลัวว่าคนข้างๆ จะด่า (มันมีวิธีอย่างนี้ด้วยเรอะ) ทำให้ตาสว่าง แต่ถึงอย่างไร ถ้าคิดว่าจะรบกวนคนข้างๆ ละก็ ก็ให้ซื้อขนมจุกจิกเล็กๆน้อยๆไปแทน) เมื่อหายง่วงก็ให้หยุดกินแล้วตั้งใจเรียนต่อไปซะ

3. อุปกรณ์สำหรับเรียนกวดวิชา : สำคัญนะคะ เพราะเวลาเราง่วงๆ ก็หยิบปากกาสี หรือพวกไฮไลท์มาวาดๆ เขียนในหนังสือให้มันคัลเลอร์ฟูลไปเลย แต่อย่าทำให้เลอะเทอะไป เพราะเวลาทบทวนหนังสืออาจจะทำให้เรามึนได้ ให้วาดๆ เขียนๆ ด้านหลังหนังสือก็ได้ หรือไม่ก็เวลาอาจารย์ให้เน้นอะไรก็ใส่สีให้พอสวยงามก็ทำให้เราหายง่วงได้เช่นกันค่ะ แต่ถึงยังไงก็ต้องตั้งใจฟังอาจารย์อย่ามัวแต่วาดเพลินนะคะ

4. ฝึกจินตนาการผ่านกวดวิชา : ลองมองดูอาจารย์สอนกวดวิชาสิคะ ท่านจะมีอะไรให้เราได้จินตนาการไปเรื่อยเปื่อยอยู่เสมอ ตั้งแต่คำพูดติดปากของอาจารย์ สีเสื้อผ้า ทรงผม เสียงหัวเราะของอาจารย์ บางที...มุขฝืดๆของอาจารย์ก็ช่วยพวกเราจากความง่วงงันได้เหมือนกันนะ

5. สำหรับคนที่ชอบหลับคาโต๊ะกวดวิชา : เราขอแนะนำ!! ให้ลองก้มลงไปนอนโต๊ะคนอื่นดูค่ะ (หา!!) แล้วจะไม่ง่วงอีกเลย (แต่จะได้เบ้าตาหมีแพนด้ามาแทน ...อ้าว)


6. ตั้งใจฟังอาจารย์ : เรียนให้เต็มที่ คำนวณอะไรก็คิดๆๆๆๆๆ คิดผิดก็คิดมันไป อาจารย์เฉลยว่าผิดแล้วก็ลบแอบๆ หน่อย (อายคนข้างๆ) พอเวลาคำนวณถูกก็เปิดมันเลย! ดูเส่ะๆพวกหล่อน ฉันคิดถูก ว่ะฮ่าๆๆๆ

7. สำหรับคนที่กินขนมแล้วชอบหลับ : แนะนำค่ะ ลูกอมรสเปรี้ยวๆ กินแล้วตื่นเต็มตาเลยค่ะ (แต่ถ้ากินบ่อยๆอาจทำให้คุณชินและหลับได้แม้กระทั้งในปากเปรี้ยวจี้ด) หรือไม่ก็ลูกอมมิ้นท์เย็นๆ แบบว่าเย็นสุดขั้ว กินแล้วเย็นไปถึงรูขุมขนได้ยิ่งดี นั่นจะทำให้คุณตื่น (แต่บางคนอาจจะหลับ) เรื่องลูกอมต้องค่อยๆลองไปสลับไปได้เรื่อยๆ ยิ่งดี วันนึงก็รสนึง อีกวันก็รสใหม่ จะทำให้เราไม่คุ้นและไม่ง่วง

8. หากเรียนไปแล้วเริ่มจะเข้าเฝ้าเทวดา : ให้นึกถึงเวลาที่ใกล้จะหมดสิคะ นั่นอาจจะทำให้รู้สึกลัลล้าและตื่นเต็มตาได้ แต่ถ้าหากเพิ่งจะเริ่มเรียนแล้วง่วงละก็ ลองไปล้างหน้าล้างตาดูนะคะ

9. บรรยากาศในห้องเรียน : เป็นส่วนหนึ่งทำให้เคลิ้มได้ บางทีก็เย็นจนปอดจะแข็งตาย บางทีก็ร้อนตับจะออกมานอกร่าง ขอแนะนำว่าให้ลองใจกล้าเดินไปบอกพี่ที่คุมเลยค่ะ ว่าร้อนหรือหนาว จะได้ไม่รู้สึกเคลิ้มหรือไม่เครียดขณะเรียน