วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2552

"มศว"ชี้ข้อสอบ"GAT-PAT"ออกไม่ตรง

"มศว"ชี้ข้อสอบ"GAT-PAT"ออกไม่ตรงไม่วัดการคิดเชิงตัวเลข-ยากผิดเป้าหมาย
สทศ.เล็งเพิ่มตัวเลือก-ดัดนิสัยเดาทิ้งดิ่ง
มติชน 21 สิงหาคม 2552.
เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม นายชาญวิทย์ เทียมบุญประเสริฐ ผู้อำนวยการสำนักทดสอบทางการศึกษาและจิตวิทยา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) เปิดเผยว่า แบบทดสอบวัดความถนัดทั่วไป หรือ GAT เป็นข้อสอบที่วัดสมรถนะความถนัดพื้นฐานทั่วไปของนักเรียนที่เก็บสะสมตั้งแต่เด็กจนถึง ม.6 เป็นความรู้ทั่วๆ ไปที่เติบโตขยายผลเมื่อเข้าสู่การเรียนในระดับปริญญาตรี แต่ข้อสอบ GAT ที่สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) ออกวัดเพียง 2 ส่วน คือ ความสามารถในการใช้ภาษาไทย การคิดวิเคราะห์เชิงเหตุผล และการแก้ปัญหาโจทย์ และภาษาอังกฤษ ตนเคยเสนอที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) ถึงการออกข้อสอบ GAT ของ สทศ.ซึ่งไม่ถูกต้องนัก เพราะไม่มีข้อสอบที่วัดการคิดคำนวณเชิงตัวเลข หรือเชิงปริมาณ การวัดในส่วนนี้จำเป็น แต่ไม่ควรอิงกับหลักวิชาคณิตศาสตร์ในชั้นเรียน และไม่ควรวัดในเชิงคณิตศาสตร์ชั้นสูง นอกจากนี้ การให้น้ำหนัก GAT 50% มากเกินไป ทำให้เด็กจำนวนไม่น้อยเสียเปรียบเด็กในเมืองใหญ่ๆ จึงอยากเสนอให้เพิ่มข้อสอบที่วัดการคิดคำนวณเชิงตัวเลข และปริมาณ และแบ่งคะแนนเป็น 3 ส่วน โดยวัดความสามารถในการใช้ภาษาไทย และการคิดวิเคราะห์เชิงเหตุผล 1 ส่วน ภาษาอังกฤษ 1 ส่วน และการคิดคำนวณเชิงตัวเลขหรือเชิงปริมาณอีก 1 ส่วน

นายชาญวิทย์กล่าวว่า แบบทดสอบวัดความถนัดทางวิชาการและวิชาชีพ หรือ PAT เป็นข้อสอบที่ยาก มีเป้าหมายวัดความสามารถเฉพาะทางของนักเรียน ที่ต้องการเรียนในสาขาเฉพาะทาง แต่ข้อสอบต้องไม่ลงลึกในเนื้อหาวิชาการ เพราะหากวัดในลักษณะนั้นเป็นการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ซึ่งผิดเป้าหมายการออกข้อสอบ PAT ยอมรับว่าผู้ที่ออกข้อสอบ PAT มีความเชี่ยวชาญในสาขาวิชาต่างๆ มาก แต่อาจบกพร่องในการวัดผลและประเมินผล ทำให้ออกข้อสอบวัดความรู้ทางวิชาการชั้นสูงในวิชาเฉพาะมากเกินไป เด็กจึงบ่นว่าข้อสอบ PAT ยากมาก อยากบอก สทศ.ว่าถ้าเปลี่ยนแปลงการออกข้อสอบ GAT และ PAT ให้มีเป้าหมายมองให้รอบด้าน และเป็นไปตามปรัชญาการวัดและประเมินผลจริงๆ จะทำให้ลดปัญหาการกวดวิชาลงได้ เพราะไม่มีเนื้อหาให้ต้องกวดวิชา อีกทั้ง เมื่อข้อสอบยาก ทำให้เด็กเบื่อหน่าย และหนีไปสอบรับตรงมากขึ้น

นางอุทุมพร จามรมาน ผู้อำนวยการ สทศ.กล่าวว่า จะปรับแบบทดสอบ GAT และ PAT ครั้งที่ 3 เดือนตุลาคม 2552 เพื่อลดการเดาข้อสอบแบบทิ้งดิ่ง ซึ่งมีโอกาสให้เดาถูก 25% โดย สทศ.จะเพิ่มตัวเลือกคำตอบมากกว่า 4 ตัวเลือก ส่งผลให้โอกาสเดาถูกลดลง นอกจากนี้ จะเพิ่มเนื้อหาการคิดวิเคราะห์มากขึ้น หมายความว่าเด็กต้องอ่านจนครบจึงได้คำตอบ ส่วนการให้คะแนนติดลบในวิชา GAT1 การคิดวิเคราะห์นั้น ข้อสอบวิชานี้เด็กต้องอ่าน และวิเคราะห์ก่อนจึงค่อยตอบ และคำตอบมีหลายตัวเลือก ที่ผ่านมาพบว่า เด็กที่ตั้งใจทำข้อสอบคิดวิเคราะห์ได้ กลับคะแนนน้อยกว่าเด็กที่เลือกคำตอบแบบทิ้งดิ่ง อีกทั้ง สทศ.ต้องการวัดคุณภาพของเด็ก ไม่ใช่วัดความสามารถในการเดา เพราะต้องการให้เด็กคิดวิเคราะห์ได้เมื่อจบ จึงต้องให้คะแนนติดลบต่อไป อย่างไรก็ตาม จากนี้จะวิจัยว่าการให้คะแนนติดลบมีผลดีหรือผลเสีย หากพบว่ามีผลดี จะขยายให้มีคะแนนติดลบเพิ่มขึ้นในหลายๆ วิชา ถ้ามีผลเสียก็จะลดลงที่ผ่านมา สทศ.ได้ลองให้นักศึกษาปี 2 ในมหาวิทยาลัยทำข้อสอบ GAT และ PAT วิทยาศาสตร์ ความถนัดทางวิชาชีพครู คณิตศาสตร์ พบว่านักศึกษาทำคะแนนได้สูงกว่า ม.6 ถึง 2-3 เท่า สะท้อนตรงกับวัตถุประสงค์ของการจัดสอบที่ต้องการวัดความรู้เพื่อเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย ต่อไป สทศ.จะลองให้นักศึกษาปี 2 สอบครบทุกวิชา เพื่อวิเคราะห์ และนำเสนอ ทปอ." นางอุทุมพรกล่าว
รอฟังข่าวกันอีกต่อไปนะจร๊ะเพื่อนๆๆ

วันพุธที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2552

คอนแทคเลนส์ หรือ เลนส์สัมผัส จัดเป็นเครื่องมือแพทย์ชนิดหนึ่งที่ใช้เพื่อปรับสายตา แต่ในปัจจุบันได้มีการนำเอาคอนแทคเลนส์มาใช้สวมใส่เพื่อความสวยงาม ซึ่งมีทั้งแบบที่ทำให้ดวงตาดูกลมโตขึ้น และแบบที่ช่วยเปลี่ยนสีตาเป็นสีต่าง ๆ ได้ กระแสคอนแทคเลนส์แฟชั่นได้แพร่ระบาดเข้าสู่ประเทศไทยเมื่อประมาณต้นปี 2549 ที่ผ่านมา โดยวัยรุ่นไทยนิยมใส่คอนแทคเลนส์แฟชั่นเพื่อให้ตา กลมโตเลียนแบบดาราเกาหลี และญี่ปุ่น คอนแทคเลนส์แฟชั่นดังกล่าวเป็นที่รู้จักกันดีในนาม บิ๊กอายส์ หรือ คอนแทคเลนส์ตาโต ราคาก็มีตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลักพัน ระยะเวลาการใช้งานก็มีให้เลือกหลากหลาย ตั้งแต่ 1 เดือนไปจนถึง 1 ปี ปัจจุบันคอนแทคเลนส์แฟชั่นไม่ได้มีวางจำหน่ายแต่เฉพาะในร้านแว่นตา หรือคลินิกจักษุแพทย์เท่านั้น แต่ยังมีวางขายตามแผงค้าตามแหล่งแฟชั่น รวมไปถึงการวางจำหน่ายในเว็บไซต์ ทำให้ผู้บริโภคหาซื้อคอนแทคเลนส์แฟชั่นมาสวมใส่ได้ง่ายยิ่งขึ้น แต่ไม่ว่าจะใช้คอนแทคเลนส์เพื่อวัตถุประสงค์ใดก็ตาม เลนส์ที่ใช้จะต้องสัมผัสกับผิวของดวงตาที่บอบบาง การติดเชื้อหรือฉีกขาดอาจเกิดได้ง่าย จึงต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ การใช้คอนแทคเลนส์หากใช้ไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสม อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ใช้ และอาจรุนแรงถึงขั้นตาบอดได้ เหมือนกับข่าวเมื่อปลายปี 49 ที่ผ่านมา ที่มีชายชาวนิวซีแลนด์ที่ตาบจากการสวมใส่คอนแทคเลนส์แฟชั่นเพื่อความสนุกสนานในงานปาร์ตี้ จนเกิดการติดเชื้อหลังสวมใส่คอนแทคเลนส์นาน 3 วัน ทั้งนี้การใส่คอนแทคเลนส์จะต้องได้รับการตรวจตาโดยจักษุแพทย์ หรือผู้ประกอบโรคศิลปะโดยอาศัยทัศนมาตรศาสตร์ โดยผู้สวมใส่จะต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของจักษุแพทย์ หรือนักทัศนมาตรศาสตร์ หรือคำแนะนำบนฉลากอย่างเคร่งครัด และเพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค ทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้จัดทำมาตรการกำกับดูแลคอนแทคเลนส์ทุกประเภทให้เข้มงวดมากขึ้น โดยได้จัดทำร่างประกาศกำหนดให้คอนแทคเลนส์ทุกประเภท เป็นเครื่องมือแพทย์ที่ผู้ผลิต ผู้นำเข้า จะต้องแจ้งรายละเอียดต่ออย.ก่อนผลิตหรือนำเข้า อีกทั้งกำหนดเงื่อนไขให้ผู้ผลิตหรือนำเข้าต้องจำหน่ายคอนแทคเลนส์ให้กับสถานที่ที่กำหนดเท่านั้น เช่น สถานพยาบาล ผู้บริโภคไม่ควรซื้อคอนแทคเลนส์ที่จำหน่ายตามแผงลอย เพราะอาจเป็นอันตรายถึงตาบอดได้ นอกจากนี้ อย. ยังได้กำหนดให้ฉลากของผลิตภัณฑ์ดังกล่าว จะต้องมีคำเตือน ข้อห้ามใช้ และข้อควรระวังต่าง ๆ บนฉลากอย่างชัดเจน นพ.นรังสันต์ พีรกิจ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา กล่าวว่า ประชาชนควรระมัดระวังการใช้คอนแทคเลนส์ทุกชนิด โดยไม่ควรซื้อมาใช้เอง และซื้อจากร้านที่เป็นแผงลอย ควรปฏิบัติตามคำแนะนำบนฉลากอย่างเคร่งครัด และหากมีภาวะผิดปกติ เช่น ต้อเนื้อ ต้อลม ตาแดง กระจกตาไต่อความรู้สึกลดลง ตาแห้ง กะพริบตาไม่เต็มที่ ก็ไม่ควรใช้คอนแทคเลนส์ สิ่งที่สำคัญที่ต้องระลึกถึงอยู่เสมอคือเรื่องสุขลักษณะ ต้องล้างมือให้สะอาดและทำให้แห้งก่อนสัมผัสเลนส์ การสวมและการเปลี่ยนเลนส์ก็ให้เป็นไปตามระยะที่กำหนด การล้างและการเก็บรักษาเลนส์ก็ให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ ส่วนภาชนะที่เก็บเลนส์ก็ต้องรักษาให้สะอาดอยู่เสมอ ห้ามใช้คอนแทคเลนส์ร่วมกับบุคคลอื่น ห้ามใส่ขณะว่ายน้ำเพราะอาจทำให้ติดเชื้อที่ตา และห้ามใส่เวลานอน ถึงแม้ว่าจะเป็นชนิดใส่นอนได้ก็ตาม และต้องถอดทำความสะอาดทุกวัน หากมีอาการผิดปกติ เช่น เจ็บหรือปวดตาเป็นอย่างมาก ร่วมกับอาการแพ้แสง ตามัวลง น้ำตาไหลมาก ตาแดง ให้หยุดใช้คอนแทคเลนส์ทันที และให้รีบไปพบแพทย์หรือจักษุแพทย์โดยเร็ว...

วันอังคารที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2552

10 วิธีบอกรักแม่ ทำไปเลยไม่ต้องอายจร๊ะ



1.ส่งการ์ด การ์ดอวยพรที่ต้องเข้ากับเทศกาล จะเป็นภาพดอกมะลิ หรือรูปที่สื่อถึงความรักของแม่กับลูก อย่าหยิบผิดเป็นภาพต้นคริสมาสต์มาล่ะหรือใครมีทักษะด้านศิลปะ ก็โชว์ได้เต็มที่เลย
ภายในการ์ดก็บรรเลงความในใจ ความรัก สิ่งที่อยากจะพูดกับคุณแม่ได้เลย ลูกๆ ขี้อายเลือกไปใช้ได้

เลยนะ

2 กอด
วิธีธรรมดาที่สามารถส่งต่อความอบอุ่นได้ดี ไม่ต้องใช้อะไร นอกจากอ้อมกอดจริงใจ เปี่ยมไปด้วยความรักที่มีต่อแม่ วิธีการ ก็ง่าย รอจังหวะที่แม่อารมณ์ดี และกำลังว่างอยู่ แล้วเราเดินไปหาแม่ บอกกับแม่ว่า "ขอกอดแม่หน่อยนะ" พร้อมกับกอด แล้วพูดว่า "หนูรักแม่ค่ะ"
3 อาสางานบ้าน

4.กราบเท้า พวงมาลัย เพิ่มความมุ่งมั่นตั้งใจ ด้วยวิธีการที่ทุ่มเทมากขึ้น ขั้นแรกต้องไปหาเข็มกลัดดอกมะลิที่มีขายทั่วไป หรือพวงมาลัยดอกมะลิก็ได้ ค่ำวันที่ 12 สิงหา เป็นเวลาที่เหมาะสุด อาจเป็นตอนที่แม่กำลังดูละครหลังข่าวนั่นล่ะ คลานเข่าเข้าไปเลยวัยรุ่น กราบที่เท้าของท่าน พร้อมยื่นดอกมะลิที่เตรียมมา อย่าลืมประโยคเด็ด "หนูรักแม่ค่ะ"


5.ผลการเรียน การสอบหรูๆ วิธีนี้ไม่ต้องเป็นลูกๆ ที่เรียนเก่งก็ได้ ความจริงเหมาะสำหรับเด็กดื้อที่ตั้งใจเรียนน้อยๆ เสียด้วยซ้ำ เพราะ จะได้ชี้ชัดไปเลยว่า เราตั้งใจทำเพื่อแม่จริงๆ โดยไปบอกกับแม่ ในวันแม่ว่า" หนู จะตั้งใจเรียน แล้วเอาเกรดดีๆ มาให้แม่ ค่ะ" เป็นวิธียิงปืนนัดเดียวได้นก 2 ตัว ทั้งแม่ดีใจ การผลการเรียนดีขึ้นไปพร้อมกันเลย

6.ข้อความประทับใจ สำหรับลูกๆ ขี้อายอีกแล้ว และก็สำหรับลูกๆ ที่อยู่ไกลจากคุณแม่ด้วย ลูกๆ หลายคนทำมึน 'เอ๊ะ ข้อความควรเป็นอย่างไรนะ' แหม ไม่ต้องเลย ทีส่งข้อความสื่อรักให้กับ เพื่อนหนุ่ม เพื่อนสาวเนี่ย ถนัดคิดกันมาได้มากมาย ไม่ยากหรอก แค่ใช้หลักการเดียวกัน คือ สื่อความรักของเราออกไป
"1 ปี แม้ลูกคนนี้อาจทำดีไม่มาก แต่ก็รักแม่ม๊ากมาก^ ^รู้ว่าแม่เหนื่อกับลูกคนนี้มามาก ลูกก็เหนื่อยกับแม่เหมือนกัน เพราะรักแม่เท่าไร ก็ไม่เคยเท่าที่แม่รักลูกคนนี้สักที อิอิ รักแม่ครับ""อยากขอโทษในสิ่งไม่ดี ที่เคยทำแม่เสียใจ จากนี้จะตั้งใจทำดีให้แม่สุขใจบ้าง รักแม่นะ"


ยากไหมค่ะเพื่อนๆๆ สู้ๆๆทำได้อยู่แล้ว


7.บอกรักผ่านจอ ถ่ายวีดีโอ/วีดีโอคลิป ถึงเวลาใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายวีดีโอคลิป ในทางสร้างสรรค์กันเสียทีเด็กดีรักแม่ ใครจะถ่ายเป็นวีดีโอก็ได้ จะเป็น จะแนวยิ้มๆ เขินๆ บอกความในใจก็ได้ แต่จะมาทำเป็นเล่น ตลกไร้สาระไม่ได้นะ เดี๋ยวความซึ้งจะกลายเป็นความเสื่อมไป ทางที่ดีควรเอาแนวซึ้งดีที่สุด ดังนั้นให้ไปบิ้วอารมณ์กันมาก่อน ลองนึกถึง ตอนที่เราทำให้แม่เสียใจ,ตอนที่แม่เสียสละให้เรา,นึกถึงเวลาแม่กอดเรา
อาจต้อง เขียนสคริปเล็กน้อย แต่ไม่ต้องถึงกับอ่านกระดาษหรอกนะ แล้วก็พูดไปเลย พูดไปให้หมด อยากจะขอโทษเรื่องไหน อยากจะบอกความรักที่มีให้แม่อย่างไร ตามความรู้สึกเลย ส่วนการเปิดให้ดูก็เปิดผ่านคอมพิวเตอร์ให้แม่ดูก็ได้นะ

8.มื้ออิ่มใจ ต้องอาศัยการเตรียมตัวสักหน่อย เพราะเป็นวิธีบอกรักที่อาศัยทุนทรัพย์และความมุ่งมั่น เรามาทำมื้อความสุขให้คุณแม่กัน โดยอาจจะบอกแม่เอาไว้ก่อนว่า วันนี้มีอาหารเย็นเรียบร้อยแล้ว แต่อย่าบอกความจริงเรื่องที่เราจะทำให้ล่ะ เดี๋ยวไม่ประหลาดใจ ถ้าใครกระเป๋าหนัก หรือ ไม่มีเวลามากนัก ก็พาแม่ไปรับประทานอาหาร ที่ร้านอาหารเลย โดยมื้อนี้ลูกรักต้องขอเป็นคนเลี้ยงแม่บ้างด้วยนะ ส่วนใครอยากทำซึ้งได้อีก ก็วิธีนี้เลย ฝึกทำอาหารสัก 2 อย่าง แนะนำว่าอาหารหลักเป็นอาหารจานเร็ว ที่ทำไม่ยาก อย่างเช่น สปาร์เก็ตตี้ซอสเห็ด,ซุปไก่,ข้าวผัดกุนเชียง ตามด้วยเครื่องดื่มอย่างเช่น น้ำผลไม้ แล้วใครจะซึ้งได้อีก ก็ตบท้ายด้วยขนมก็ได้ เพราะท่าทางจะยุ่งยากเสียหน่อย รับรองแม่อิ่มท้อง อิ่มใจไปหลายวัน (ทุกเมนูควรผ่านการชิม และจดสูตรอร่อยไว้แล้วนะ ตั้งใจทำทั้งทีนี่นา)

9.ทำCD พรีเซ้นต์ จะทำเป็นไฟล์ หรือเป็นแผ่น CD หรูหรา (เพื่อความสะดวก ถ้าแม่อยากเอาไปอวดเพื่อนถึงความประทับใจ)ไม่ยากๆ เหมือนที่เราทำสไลด์ใน (hi5) นั่นล่ะ ถ้าใครทำไม่เป็น ลองถามเพื่อนๆ ดู ต้องมีสักคนล่ะ ที่ยอมมาเป็น อาจารย์สอนวิทยายุทธ์นี้ให้ โดยเลือกรูปเรากับแม่เอามาไว้เยอะ ยิ่งตอนเด็กๆ ยิ่งดี ให้แม่ย้อนถึงอดีตยิ่งซึ้งใหญ่ ประกอบด้วยเพลงแนะนำอย่าง 'ค่าน้ำนม','อิ่มอุ่น' ศุ บุญเลี้ยง, 'แม่' เสก โลโซ,เบิร์ด ธงชัย ฯลฯ ใครอยากซึ้งได้อีก แนะนำว่า ร้องคาราโอเกะใส่ดนตรีมาเลย โห แค่คิดก็น้ำตาจะไหลแล้ว
10.ปิดท้ายด้วยวิธีที่ง่ายที่สุด จริงใจที่สุด ทำได้บ่อยๆ การแสดงความรัก รักแม่ เสียสละเพื่อแม่บ้าง กอดแม่บ้าง รับใช้คุณแม่ ตั้งใจเรียนเพื่อแม่ พูดไพเราะกับแม่ ไม่เถียงแม่ เชื่อฟังแม่ ฯลฯ ถ้าเราทำด้วยความรักจริงๆ รับรองเราทำได้ไม่มีเบื่อ
ข้อมูลการกินอาหารบำรุงสมองนี้ ได้มาจากศึกษา 2 กลุ่มตัวอย่างของ อาจารย์แคโรลีน เอดมอนส์ และคณะนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยอีสท์
ลอนดอน อังกฤษ ที่ทำการศึกษากลุ่มตัวอย่างเด็กๆ อายุ 7-9 ปี ประมาณ 60 คน โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งได้ดื่มน้ำ 250 มิลลิลิตรก่อน
สอบ 20 นาที และอีกกลุ่มไม่ได้ดื่มน้ำเพิ่ม หลังจากนั้นให้เด็กๆ หาจุดแตกต่างระหว่างการ์ตูน 2 ตัว ผลการศึกษาพบว่า เด็กๆ ที่ได้ดื่มน้ำก่อน
สอบทำคะแนนได้ดีกว่ากลุ่มที่ไม่ได้ดื่มน้ำ 34% เมื่อให้ทำแบบทดสอบที่ยากขึ้น กลุ่มที่ดื่มน้ำทำคะแนนได้ดีกว่า 23%

กินปลาดีที่สุด

มีการศึกษาอีกรายงานหนึ่งที่ทำโดยคณะวิจัยจากมหาวิทยาลัยโกเตนบวก ประเทศสวีเดน ที่ทำการศึกษาในเด็กผู้ชายวัยรุ่นอายุ 15 ปี โดยมอบปลา
ให้อาสาสมัครอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง พบว่า เด็กๆ ที่กินปลามากกว่า สามารถทำแบบทดสอบไอคิว (IQ) ได้คะแนนดีกว่า และจากการ
ศึกษายังพบอีกว่า การกินปลาช่วยให้สมองเด็กทารกทำงานได้ดีขึ้น ลดความเสี่ยงสมรรถภาพสมองเสื่อมลงในคนวัยกลางคน นอกจากนั้นเด็กๆ ที่
คุณแม่กินปลาในระหว่างตั้งครรภ์ (ท้อง) ก็มีพัฒนาการดีกว่า อีกด้วย

เคล็ดลับง่ายๆที่นำมาบอกกันจร๊ะเพื่อนๆๆ